ศีล227 ของพระภิกษุ
อนุศาสน์ ๘ อย่าง
นิสสัย ๔ อกรณียกิจ ๔
นิสสัย คือ ปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิต มี ๔ อย่าง คือ
๑. เที่ยวบิณฑบาต
๒. นุ่งห่มผ้าบังสุกุล
๓. อยู่โคนไม้
๔. ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า
อกรณียกิจ คือ กิจที่ไม่ควรทำ มี ๔ อย่าง คือ
๑. เสพเมถุน
๒. ลักของเขา
๓. ฆ่าสัตว์
๔. พูดอวดคุณพิเศษที่ไม่มีในตน
กิจ ๔ อย่างนี้ บรรพชิตทำไม่ได้
สิกขาของภิกษุมี ๓ อย่าง คือ
๑. ศีล คือ ความสำรวมกายวาจาให้เรียบร้อย
๒. สมาธิ คือ ความรักษาใจมั่น
๓. ปัญญา คือ ความรอบรู้ในกองสังขาร
อาบัติ
อาบัติ คือ โทษที่เกิดเพราะความละเมิดในข้อที่พระพุทธเจ้าห้าม
อาบัตินั้นว่าโดยชื่อ มี ๗ อย่าง คือ
๑. ปราชิก
๒. สังฆาทิเสส
๓. ถุลลัจจัย
๔. ปาจิตตีย์
๕. ปาฏิเทสนียะ
๖. ทุกกฎ
๗. ทุพภาสิต
ปราชิกนั้น ภิกษุต้องเข้าแล้วขาดจากความเป็นภิกษุ. สังฆาทิเสสนั้น ภิกษุต้องเข้าแล้ว
ต้องอยู่กรรม จึงพ้นได้ อาบัติอีก ๕ อย่างนั้น ภิกษุต้องเข้าแล้ว ต้องแสดงต่อหน้าสงฆ์หรือ
คณะหรือภิกษุรูปใดรูปหนึ่งจึงพ้นได้.
อาการที่ภิกษุจะต้องอาบัติเหล่านี้ มี ๖ อย่าง คือ
๑. ต้องด้วยไม่ละอาย
๒. ต้องด้วยไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะเป็นอาบัติ
๓. ต้องด้วยสงสัยแล้วขืนทำลง
๔. ต้องด้วยสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร
๕. ต้องด้วยสำคัญว่าไม่ควรในของที่ควร
๖. ต้องด้วยลืมสติ
ข้อที่พระพุทธเจ้าห้าม ซึ่งยกขึ้นเป็นสิกขาบท ที่มาในพระปาติโมกข์ ๑ ไม่ได้มาใน
พระปาติโมกข์ ๑
สิกขาบทที่มาในพระปาติโมกข์นั้น คือ ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ อนิยต ๒ นิสสัค
คิยปาจิตตีย์ ๓๐ ปาจิตตีย์ ๙๒ ปาฏิเทสนียะ ๔ เสขิยะ ๗๕ รวมเป็น ๒๒๐ นับทั้งอธิ
กรณสมถะด้วยเป็น ๒๒๗.
ปาราชิก ๔
๑. ภิกษุเสพเมถุน ต้องปาราชิก
๒. ภิกษุ ถือเอาของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ ได้ราคา ๕ มาสก ต้องปาราชิก
๓. ภิกษุแกล้งฆ่ามนุษย์ให้ตาย ต้องปาราชิก
๔. ภิกษุอวดอุตตริมนุสสธรรม (คือธรรมอันยิ่งของมนุษย์) ที่ไม่มีในตน ต้องปาราชิก.
สังฆาทิเสส ๑๓
๑. ภิกษุแกล้งทำให้น้ำอสุจิเคลื่อน ต้องสังฆาทิเสส
๒. ภิกษุมีความกำหนัดอยู่ จับต้องกายหญิง ต้องสังฆาทิเสส
๓. ภิกษุมีความกำหนัดอยู่ พูดเกี้ยวหญิง ต้องสังฆาทิเสส
๔. ภิกษุมีความกำหนัดอยู่ พูดล่อให้หญิงบำเรอตนด้วยการม ต้องสังฆาทิเสส
๕. ภิกษุชักสื่อให้ชายหญิงเป็นผัวเมียกัน ต้องสังฆาทิเสส
๖. ภิกษุสร้างกุฎีที่ต้องก่อและโบกด้วยปูนหรือดิน ซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของ จำเพาะเป็นที่
อยู่ของตน ต้องทำให้ได้ประมาณ โดยยาวเพียง ๑๒ คืบพระสุคต โดยกว้างเพียง ๗ คืบ วัน
ในรวมใน และต้องให้สงฆ์แสดงที่ให้ก่อน ถ้าไม่ให้สงฆ์แสดงที่ให้ก็ดี ทำให้เกินประมาณก็ดี
ต้องสังฆาทิเสส
๗. ถ้าที่อยู่ซึ่งจะสร้างขึ้นนั้น มีทายกเป็นเจ้าของ ทำให้เกินประมาณนั้นได้ แต่ต้องให้
สงฆ์แสดงที่ให้ก่อน ถ้าไม่ให้สงฆ์แสดงที่ให้ก่อน ต้องสังฆาทิเสส
๘. ภิกษุโกรธเคือง แกล้งโจทภิกษุอื่นด้วยอาบัติปาราชิกไม่มีมูล ต้องสังฆาทิเสส
๙. ภิกษุโกรธเคือง แก้ลงหาเลสโจทภิกษุอื่นด้วยอาบัติปาราชิก ต้องสังฆาทิเสส
๑๐. ภิกษุพากเพียรเพื่อจะทำลายสงฆ์ให้แตกกัน ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง สงฆ์สวดกรรม
เพื่อจะให้ละข้อที่ประพฤตินั้น ถ้าไม่ละ ต้องสังฆาทิเสส
๑๑. ภิกษุประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายสงฆ์นั้น ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง สงฆ์สวดกรรมเพื่อจะ
ให้ละข้อที่ประพฤตินั้นถ้าไม่ละ ต้องสังฆาทิเสส
๑๒. ภิกษุว่ายากสอนยาก ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง สงฆ์สวดกรรมเพื่อจะให้ละข้อที่ประพฤติ
นั้น ถ้าไม่ละ ต้องสังฆาทิเสส
๑๓. ภิกษุประทุษร้ายตระกูล คือประจบคฤหัสถ์ สงฆ์ไล่เสียจากวัด กลับว่าติเตียน
สงฆ์ ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง สงฆ์สวดกรรมเพื่อจะให้ละข้อที่ประพฤตินั้น ถ้าไม่ละ ต้อง
สังฆาทิเสส
อนิยต ๒
๑. ภิกษุนั่งในที่ลับตากับหญิงสองต่อสอง ถ้ามีคนทีควรเชื่อได้มาพูดขึ้นด้วยธรรม ๓
อย่างคือ ปาราชิก หรือสังฆาทิเสส หรือปาจิตตีย์อย่างใดอย่างหนึ่ง ภิกษุรับอย่างใด ให้ปรับ
อย่างนั้น หรือเขาว่าจำเพาะธรรมอย่างใด ให้ปรับอย่างนั้น
๒. ภิกษุนั่งในที่ลับหูกับหญิงสองต่อสอง ถ้ามีคนที่ควรเชื่อได้มาพูดขึ้นด้วยธรรม ๒
อย่าง คือ สังฆาทิเสส หรือปาจิตตีย์ อย่างใดอย่างหนึ่ง ภิกษุรับอย่างใด ให้ปรับอย่างนั้น หรือ
เขาว่าจำเพาะธรรมอย่างใด ให้ปรับอย่างนั้น.
จีวรวรรคที่ ๑
๑. ภิกษุทรงอติเรกจีวรได้เพียง ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง ถ้าล่วง ๑๐ วันไป ต้องนิสสัคคิยปา
จีตตีย์
๒. ภิกษุอยู่ปราศจากไตรจีวรแม้คืนหนึ่ง ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่ได้สมมติ
๓. ถ้าผ้าเกิดขึ้นแก่ภิกษุ ๆ ประสงค์จะทำจีวร แต่ยังไม่พอถ้ามีที่หวังว่าจะได้มาอีก ถึง
เก็บผ้านั้นไว้ได้เพียงเดือนหนึ่งเป็นอย่างยิ่งถ้าเก็บไว้ให้เกินเดือนหนึ่งไป แม้ถึงยังมีที่หวังว่าจะ
ได้มาอยู่ ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์
๔. ภิกษุใช้นางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติ ให้ซักก็ดี ให้ย้อมก็ดี ให้ทุบก็ดี ซึ่งจีวรเก่า ต้องนิสสัค
คิยปาจิตตีย์
๕. ภิกษุรับจีวรต่อมือนางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติ เว้นไว้แต่แลกเปลี่ยนกัน ต้องนิสสัคคิย
ปาจิตตีย์
๖. ภิกษุขอจีวรต่อคฤหัสถ์ผู้ไม่ใช่ญาติไม่ใช่ปวารณา ได้มา ต้องนิสสัคคียปาจิตตย์ เว้น
ไว้แต่มีสมัยที่จะขอจีวรได้ คือ เวลาภิกษุมีจีวรอันโจรลักไป หรือมีจีวรอันฉิบหายเสีย
๗. ในสมัยเช่นนั้น จะขอเขาได้ก็เพียงผ้านุ่งผ้าห่มเท่านั้น ถ้าขอให้เกินกว่านั้น ได้มาต้อง
นิสสัคคิยปาจิตตีย์
๘. ถ้าคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติไม่ใช่ปวารณา เขาพูดว่า เขาจะถวายจีวรแก่ภิกษุชื่อนี้ ภิกษุ
นั้นทราบความแล้ว เข้าไปพูดให้เขาถวายจีวรอย่างนั้นอย่างนี้ ที่มีราคาแพงกว่าดีกว่าเขา
กำหนดไว้เดิม ได้มา ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์
๙. ถ้าคฤหัสถ์ผู้จะถวายจีวรแก่ภิกษุมีหลายคน แต่เขาไม่ใช่ญาติไม่ใช่ปวารณา ภิกษุไป
พูดให้เขารวมทุนเข้าเป็นอันเดียวกัน ให้ซื้อจีวรที่แพงกว่าดีกว่าที่เขากำหนดไว้เดิม ได้มา ต้อง
นิสสัคคิยปาจิตตีย์
๑๐. ถ้าใคร ๆ นำทรัพย์มาเพื่อค่าจีวรแล้วถามภิกษุว่า ใครเป็นไวยาวัจกรของเธอ ถ้า
ภิกษุต้องการจีวร ก็พึงแสดงคนวัดหรืออุบาสกว่า ผู้นี้เป็นไวยาวัจกรของภิกษุทั้งหลาย ครั้นเขา
มอบหมายไวยาวัจกรนั้นแล้ว สั่งภิกษุว่า ถ้าต้องการจีวร ให้เข้าไปหาไวยาวัจกร ภิกษุนั้นพึง
เข้าไปหาเขาแล้วทวงว่า เราต้องการจีวร ดังนี้ ได้ ๓ ครั้ง ถ้าไม่ได้จีวร ไปยืนแต่พอเขาเห็นได้
๖ ครั้ง ถ้าไม่ได้ขืนไปทวงให้เกิน ๓ ครั้ง ยืนเกิน ๖ ครั้ง ได้มา ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ถ้าไป
ทวงและยืนครบกำหนดแล้วไม่ได้จีวร จำเป็นต้องไปบอกเจ้าของเดิมว่า ของนั้นไม่สำเร็จ
ประโยชน์แก่ตน ให้เขาเรียกเอาของเขาคืนมาเสีย
โกสิยวรรคที่ ๒
๑. ภิกษุหล่อสันถัตด้วยขนเจียมเจือด้วยไหม ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์
๒. ภิกษุหล่อสันถัตด้วยขนเจียมดำล้วน ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์
๓. ภิกษุจะหล่อสันถัตใหม่ พึงใช้ขนเจียมดำ ๒ ส่วน ขนเจียมขาวส่วนหนึ่ง ขนเจียมดำ
ส่วนหนึ่ง ถ้าให้ขนเจียมดำเกิน ๒ ส่วนขึ้นไป ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์
๔. ภิกษุหล่อสันถัตใหม่แล้ว พึงใช้ให้ได้ ๖ ปี ถ้ายังไม่ถึง ๖ ปีหล่อใหม่ ต้องนิสสัคคิย
ปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่ได้สมมติ
๕. ภิกษุจะหล่อสันถัต พึงตัวเอาสันถัตเก่าคืบหนึ่งโดยรอบมาปนลงในสันถัตที่หล่อใหม่
เพื่อจะทำลายให้เสียสี ถ้าไม่ทำดังนี้ ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์
๖. เมื่อภิกษุเดินทางไกล ถ้ามีใครถวายขนเจียม ต้องการก็รีบได้ถ้าไม่มีใครนำมา นำมา
เองได้เพียง ๓ โยชน์ ถ้าให้เกิน ๓ โยชน์ไป ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์
๗. ภิกษุให้นางภิกษุณีที่ไม่ใช้ญาติ ให้ซักก็ดี ให้ย้อมก็ดี ให้สางก็ดี ซึ่งขนเจียม ต้องนิส
สัคคิยปาจิตย์
๘. ภิกษุรับเองก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นรับก็ดี ซึ่งทาองและเงิน หรือยินดีทองและเงินที่เก็บไว้เพื่อน
ตน ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์
๙. ภิกษุทำการซื้อขายด้วยรูปิยะ คือของที่เขาใช้เป็นทองและเงิน ต้องนิสสัคคิย
ปาจิตตีย์
๑๐. ภิกษุแลกเปลี่ยนสิ่งของกับคฤหัสถ์ ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์
ปัตตวรรคที่ ๓
๑. บาตรนอกจากบาตรอธิษฐานเรียกอติเรกบาตร อติเรกบาตรนั้น ภิกษุเก็บไว้ได้เพียง
๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง ถ้าให้ล่วง ๑๐ วันไป ต้องนิสสัคคิปาจิตตีย์
๒. ภิกษุมีบาตรร้าวยังไม่ถึง ๑๐ นิ้ว ขอบาตรใหม่แต่คฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติไม่ใช่
ปวารณา ได้มา ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์
๓. ภิกษุรับประเคนเภสัชทั้ง ๕ คือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย แล้วเก็บไว้ฉัน
ได้เพียง ๗ วันเป็นอย่างยิ่ง ถ้าให้ล่วง ๗ วันไป ต้องนิสสัคคียปาจิตตีย์
๔. เมื่อฤดูร้อนยังเหลืออยู่อีกเดือนหนึ่ง คือตั้งแต่แรกค่ำหนึ่งเดือน ๗ จึงแสวงหาผ้า
อาบน้ำฝนได้ เมื่อฤดูร้อนเหลืออยู่อีกกึ่งเดือนคือตั้งแต่ขึ้นค่ำหนึ่งเดือน ๘ จึงทำนุ่งได้ ถ้าแสวง
หาหรือทำนุ่งให้ล้ำกว่ากำหนดนั้นเข้ามา ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์
๕. ภิกษุให้จีวรแก่ภิกษุอื่นแล้ว โกรธ ชิงเอาคืนมาเองก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นชิงเอามาก็ดี ต้อง
นิสสัคคิยปาจิตตีย์
๖. ภิกษุขอด้ายแต่คฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติไม่ใช่ญาติไม่ใช่ญาติไม่ใช่ปวารณา เอามาให้
ช่างหูกทอเป็นจีวร ต้องนิสสัคคิปาจิตตีย์
๗. ถ้าคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติไม่ใช่ปวารณา สั่งให้ช่างหูกทอจีวรเพื่อจะถวายแก่ภิกษุ ถ้า
ภิกษุไปกำหนดให้เขาทำให้ดีขึ้นด้วยจะให้รางวัลแก่เขา ต้องนิสสัคคิปาจิตตีย์
๘. ถ้าอีก ๑๐ วันจะถึงวันปวารณา คือตั้งแต่ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๑๑ ถ้าทายกรีบถวาย
ผ้าจำนำพรรษา ก็รับเก็บไว้ได้ แต่ถ้าเก็บไว้เกินกาลจีวรไป ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ กาลจีวร
นั้นดังนี้ ถ้าจำพรรษาแล้วไม่ได้กรานกฐิน นับแต่วันปวารณาไปเดือนหนึ่ง คือตั้งแต่แรมคำหนึ่ง
เดือน ๑๑ ถึงกลางเดือน ๑๒ ถ้าได้กรานกฐินนับแต่วันปวารณาไป ๕ เดือน คือตั้งแต่แรมค่ำ
หนึ่งเดือน ๑๑ ถึงกลางเดือน ๔
๙. ภิกษุจำพรรษาในเสนาสนะป่าซึ่งเป็นที่เปลี่ยว ออกพรรษาแล้ว อยากจะเก็บไตร
จีวรผืนใดผืนหนึ่งไว้ในบ้าน เมื่อมีเหตุก็เก็บไว้ได้เพียง ๖ คืนเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเก็บไว้ให้เกิน ๖ คืน
ไป ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่ได้สมมติ
๑๐. ภิกษุรู้อยู่ น้อมลาภที่เขาจะถวายสงฆ์มาเพื่อตน ต้องนิสสัคคิปาจิตตีย์
มุสาวาทวรรคที่ ๑ มี ๑๐ สิกขาบท
๑. พูดปด ต้องปาจิตตีย์
๒. ด่าภิกษุ ต้องปาจิตตีย์
๓. ส่อเสียดภิกษุ ต้องปาจิตตีย์
๔. ภิกษุสอนธรรมแก่อนุปสัมบัน ถ้าว่าพร้อมกัน ต้องปาจิตตีย์
๕. ภิกษุนอนในที่มุงที่บังอันเดียวกันกับอนุปสัมบัน เกิน ๓ คืนขึ้นไป ต้องปาจิตตีย์
๖. ภิกษุนอนในที่มุงที่บังอันเดียวกันกับผู้หญิง แม้ในคืนแรก ต้องปาจิตตีย์
๗. ภิกษุแสดงธรรมแก่ผู้หญิง เกินกว่า ๖ คำขึ้นไป ต้องปาจิตตีย์ (เว้นไว้แต่มีบุรุษผู้รู้
เดียงสาอยู่ด้วย)
๘. ภิกษุบอกอุตตริมมนุสสธรรมที่มีจริง แก่อนุปสัมบัน ต้องปาจิตตีย์
๙. ภิกษุบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่นแก่อนุปสัมบัน ต้องปาจิตตีย์
ภูตคามวรรคที่ ๒ มี ๑๐ สิกขาบท
๑. ภิกษุพรากของเขียวซึ่งเกิดอยู่กับที่ ให้หลุดจากที่ ต้องปาจิตตีย์
๒. ภิกษุประพฤติอนาจาร สงฆ์เรียกตัวมาถาม แกล้งพูดกลบเกลื่อนก็ดี นิ่งเสียไม่พูดก็
ดี ถ้าสงฆ์สวดประกาศข้อความนั้นจบ ต้องปาจิตตีย์
๓. ภิกษติเตียนภิกษุอื่นที่สงฆ์สมมติให้เป็นผู้ทำการสงฆ์ ถ้าเธอทำโดยชอบ ติเตียน
เปล่า ๆ ต้องปาจิตตีย์
๔. ภิกษุเอาเตียง ตั่ง ฟูก เก้าอี้ ของสงฆ์ไปตั้งในที่แจ้งแล้วเมื่อหลีกไปจากที่นั้น ไม่เก็บ
ก็ดี ไม่ใช้ให้ผู้อื่นเก็บก็ดี ไม่มอบหมายแก่ผู้อื่นก็ดี ต้องปาจิตตีย์
๕. ภิกษุเอาที่นอนของสงฆ์ปูนอนในกุฎีสงฆ์แล้ว เมื่อหลีกไปจากที่นั้น ไม่เก็บเองก็ดี ไม่
ใช่ให้ผู้อื่นเก็บก็ดี ไม่มอบหมายแก่ผู้อื่นก็ดี ต้องปาจิตตีย์
๖. ภิกษุรู้อยู่ว่า กุฎีนี้มีผู้อยู่ก่อน แกล้งไปนอนเบียด ด้วยหวังจะให้ผู้อยู่ก่อนคับแค้นใจ
เข้าก็จะหลีกไปเอง ต้องปาจิตตีย์
๗. ภิกษุโกรธเคืองภิกษุอื่น ฉุดคร่าไล่ออกจากกุฎีสงฆ์ ต้องปาจิตตีย์
๘. ภิกษุนั่งทับก็ดี นอนทับก็ดี บนเตียงก็ดี บนตั้งก็ดี อันมีเท้าไม่ได้ตรึงให้แน่น ซึ่งเขา
วางไว้บนร่างร้านที่เขาเก็บของในกุฎี ต้องปาจิตตีย์
๙. ภิกษุจะเอาดินหรือปูนโบกหลังคากุฎี พึงโบกได้แต่เพียง ๓ ชั้น ถ้าโบกเกินกว่านั้น
ต้องปาจิตตีย์
๑๐. ภิกษุรู้อยู่ว่า น้ำมีตัวสัตว์ เอารดหญ้าหรือดิน ต้องปาจิตตีย์
โอวาทวรรคที่ ๓ มี ๑๐ สิกขาบท
๑. ภิกษุที่สงฆ์ไม่ได้สมมติ สั่งสอนนางภิกษุณี ต้องปาจิตตีย์
๒. แม้ภิกษุที่สงฆ์สมมติแล้ว ตั้งแต่อาทิตย์ตกแล้วไป สอนนางภิกษุณี ต้องปาจิตตีย์
๓. ภิกษุเข้าไปสอนนางภิกษุณีถึงในที่อยู่ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่นางภิกษุณีเจ็บ
๔. ภิกษุติเตียนภิกษุอื่นว่า สอนนางภิกษุณีเพราะเห็นแก่ลาภ ต้องปาจิตตีย์
๕. ภิกษุให้จีวรแก่นางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติ ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่แลกเปลี่ยนกัน
๖. ภิกษุเย็นจีวรของนางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นเย็บก็ดี ต้องปาจิตตีย์
๗. ภิกษุชวนนางภิกษุณีเดินทางด้วยกัน แม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง ต้องปาจิตตีย์
เว้นไว้แต่ทางเปลี่ยว.
๘. ภิกษุชวนนางภิกษุณีลงเรือลำเดียวกัน ขึ้นน้ำก็ดี ล่องน้ำก็ดี ต้องปาจิตตีย์
เว้นไว้แต่ข้ามฝาก
๙. ภิกษุฉันของเคี้ยวของฉัน ที่นางภิกษุณีบังคับให้คฤหัสถ์ เขาถวาย ต้องปาจิตตีย์ เว้น
ไว้แต่คฤหัสถ์เขาเริ่มไว้ก่อน
๑๐. ภิกษุนั่งก็ดี นอนก็ดี ในที่ลับสองต่อสอง กับนางภิกษุณี ต้องปาจิตตีย์
โภชวรรคที่ ๔ มี ๑๐ สิกขาบท
๑. อาหารในโรงทานที่ทั่วไปไม่นิยมบุคคลภิกษุไม่เจ็บไข้ ฉันได้แต่เฉพาะวันเดียวแล้ว
ต้องหยุดเสียในระหว่าง ต่อไปจึงฉันได้อีก ถ้าฉันติด ๆ กันตั้งแต่สองวันขึ้นไป ต้องปาจิตตีย์
๒. ถ้าทายกเขามานิมนต์ ออกชื่อโภชนะทั้ง ๕ อย่าง คือ ข้าวสุก ขนมสด ขนมแห้ง
ปลา เนื้อ อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าไปรับของนั้น มาหรือ ฉันของนั้นพร้อมกันตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป
ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่สมัย คือ เป็นไข้อย่าง ๑ หน้าจีวรกาลอย่าง ๑ เวลาทำจีวรอย่าง ๑
เดินทางไกลอย่าง ๑ ไปทางเรืออย่าง ๑ อยู่มากด้วยกันบิณฑบาตไม่พอฉันอย่าง ๑ โภชนะ
เป็นของสมณะอย่าง ๑
๓. ภิกษุรับนิมนต์แห่งหนึ่ง ด้วยโภชนะทั้ง ๕ อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ไม่ไปฉันในที่นิมนต์
นั้น ไปฉันเสียที่อื่น ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่ยกส่วนที่รับนิมนต์ไว้ก่อนนั้นให้แก่ภิกษุอื่นเสีย
หรือหน้าจีวรกาล และเวลาทำจีวร
๔. ภิกษุเข้าไปบิณฑบาตในบ้าน ทายกเขาเอาขนมมาถวายเป็นอันมาก จะรับได้เป็น
อย่างมากเพียง ๓ บาตรเท่านั้น ถ้ารับให้เกินกว่านั้น ต้องปาจิตตีย์ ของที่รับมามากเช่นนั้น
ต้องแบ่ง ให้ภิกษุอื่น
๕. ภิกษุฉันค้างอยู่ มีผู้เอาโภชนะทั้ง ๕ อย่างใดอย่างหนึ่งเข้ามาประเคน ห้ามเสียแล้ว
ลุกจากที่นั่งนั้นแล้ว ฉันของเคี้ยวของฉันซึ่งไม่เป็นเดนภิกษุไข้ หรือไม่ให้ทำวินัยกรรม
ต้องปาจิตตีย์
๖. ภิกษุรู้อยู่ว่า ภิกษุอื่นห้ามข้าวแล้ว (ตามสิกขาบทหลัง) คิดจะยกโทษเธอ แกล้งเอา
ของเคี้ยวของฉันที่ไม่ได้เป็นเดนภิกษุไข้ไปล่อให้เธอฉัน ถ้าเธอฉันแล้ว ต้องปาจิตตีย์
๗. ภิกษุฉันของเคี้ยวของฉันที่เป็นอาหารในเวลาวิกาล คือตั้งแต่เที่ยงแล้วไปจนถึงวัน
ใหม่ ต้องปาจิตตีย์
๘. ภิกษุฉันของเคี้ยวของฉันที่เป็นอาหารซึ่งรับประเคนไว้ค้างคืน ต้องปาจิตตีย์
๙. ภิกษุขอโภชนะอันประณีต คือ ข้าวสุกระคนด้วยเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำ
อ้อย ปลา เนื้อ นมสด นมส้ม ต่อคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ปวารณา เอามาฉัน ต้องปาจิตตีย์
๑๐. ภิกษุกลืนกินอาหารที่ไม่มีผู้ให้ คือยังไม่ได้รับประเคน ให้ล่วงทวารปากเข้าไป ต้อง
ปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่น้ำและไม้สีฟัน
อเจลกวรรคที่ ๕ มี ๑๐ สิกขาบท
๑. ภิกษุให้ของเคี้ยวของฉัน แก่นักบวชนอกศาสนา ด้วยมือตน ต้องปาจิตตีย์
๒. ภิกษุชวนภิกษุอื่นไปเที่ยวบิณฑบาตด้วย หวังจะประพฤติอนาจาร ไล่เธอกลับมาเสีย
ต้องปาจิตตีย์
๓. ภิกษุสำเร็จการนั่งแทรกแซง ในสกุลที่กำลังบริโภคอาหารอยู่ ต้องปาจิตตีย์
๔. ภิกษุนั่งอยู่ในห้องกับผู้หญิง ไม่มีผู้ชายอยู่เป็นเพื่อน ต้องปาจิตตีย์
๕. ภิกษุ นั่งในที่แจ้งกับผู้หญิงสองต่อสอง ต้องปาจิตตีย์
๖. ภิกษุรับนิมนต์ด้วยโภชนะทั้ง ๕ แล้ว จะไปในที่อื่นที่นิมนต์นั้น ในเวลาก่อนฉันก็
ดีฉันกลับมาแล้วก็ดี ต้องลาภิกษุที่มีอยู่ในวัดก่อนจึงจะไปได้ ถ้าไม่ลาก่อนเที่ยวไป ต้อง
ปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่สมัย คือ จีวรกาล และเวลาทำจีวร
๗. ถ้าเขาปวารณาด้วยปัจจัยสี่เพียง ๔ เดือนพึงขอเขาได้เพียงกำหนดนั้นเท่านั้น ถ้าขอ
ให้เกิน กว่ากำหนดนั้นไป ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่เขาปวารณาอีก หรือปวารณาเป็นนิตย์
๘. ภิกษุไปดูกระกวนทัพที่เขายกไปเพื่อจะรบกัน ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่มีเหตุ
๙. ถ้าเหตุที่ต้องไปมีอยู่ พึงไปอยู่ได้ในกองทัพเพียง ๓ วัน ถ้าอยู่ให้เกินกว่ากำหนดนั้น
ต้องปาจิตตีย์
๑๐. ในเวลาที่อยู่ในกองทัพตามกำหนดนั้นถ้าไปดูเขารบกันก็ดี หรือดูเขาตรวจพลก็ดี ดู
เขาจัดกระบวนทัพก็ดี ดูหมู่เสนาที่จัดเป็นกระบวนแล้วก็ดี ต้องปาจิตตีย์
สุราปานวรรคที่ ๖ มี ๑๐ สิกขาบท
๑. ภิกษุดื่มน้ำเมา ต้องปาจิตตีย์
๒. ภิกษุจี้ภิกษุ ต้องปาจิตตีย์
๓. ภิกษุว่ายน้ำเล่น ต้องปาจิตตีย์
๔. ภิกษุแสดงความไม่เอื้อเฟื้อในวินัย ต้องปาจิตตีย์
๕. ภิกษุหลอนภิกษุให้กลัวผี ต้องปาจิตตีย์
๖. ภิกษุไม่เป็นไข้ ติดไฟให้เป็นเปลวเองก็ดี ให้ผู้อื่นติดก็ดี เพื่อจะผิง ต้องปาจิตตีย์ ติด
เพื่อเหตุอื่น ไม่เป็นอาบัติ
๗. ภิกษุอยู่ในมัชฌิมประเทศ คือ จังหวัดกลางแห่งประเทศอินเดีย ๑๕ วันจึงอาบน้ำ
ได้หนหนึ่ง ถ้ายังไม่ถึง ๑๕ วันอาบน้ำ ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่มีเหตุจำเป็น ในปัจจันตประเทศ
เช่นประเทศเราอาบน้ำได้เป็นนิตย์ ไม่เป็นอาบัติ
๘. ภิกษุได้จีวรใหม่มา ต้องพินทุด้วยสี ๓ อย่าง คือ เขียวคราม โคลน ดำคลํ้า อย่างใด
อย่างหนึ่งก่อน จึงนุ่งห่มได้ ถ้าไม่ทำพินทุก่อนแล้วนุ่งห่ม ต้องปาจิตตีย์
๙. ภิกษุวิกัปจีวรแก่ภิกษุหรือสามเณรแล้วผู้รับยังไม่ได้ถอนนุ่งหุ่มจีวรนั้น ต้องปาจิตตีย์
๑๐. ภิกษุซ่อนบริขาร คือ บาตร จีวร ผ้าปูนั่ง กล่องเข็ม ประคตเอว สิ่งใดสิ่งหนึ่งของ
ภิกษุอื่น ด้วยคิดว่าจะล้อเล่น ต้องปาจิตตีย์
สัปปาณวรรคที่ ๗ มี ๑๐ สิกขาบท
๑. ภิกษุแกล้งฆ่าสัตว์ดิรัจฉาน ต้องปาจิตตีย์
๒. ภิกษุรู้อยู่ว่า น้ำมีตัวสัตว์ บริโภคน้ำนั้น ต้องปาจิตตีย์
๓. ภิกษุรู้อยู่ว่า อธิกรณ์นี้สงฆ์ทำแล้วโดยชอบ เลิกถอนเสีย กลับทำใหม่ ต้องปาจิตตีย์
๔. ภิกษุรู้อยู่ แกล้งปกปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่น ต้องปาจิตตีย์
๕. ภิกษุรู้อยู่ เป็นอุปัชฌายะอุปสมบทกุลบุตรผู้มีอายุหย่อนกว่า ๒๐ ปี ต้องปาจิตตีย์
๖. ภิกษุรู้อยู่ ชวนพ่อค้าผู้ซ่อนภาษีเดินทางด้วยกัน แม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง ต้องปาจิตตีย์
๗. ภิกษุชวนผู้หญิงเดินทางด้วยกัน แม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง ต้องปาจิตตีย์
๘. ภิกษุกล่าวคัดค้านธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง สงฆ์สวด
ประกาศข้อความนั้นจบ ต้องปาจิตตีย์
๙. ภิกษุคบภิกษุเช่นนั้น คือ ร่วมกินก็ดีร่วมอุโบสถสังฆกรรมก็ดี ร่วมนอนก็ดี ต้อง
ปาจิตตีย์
๑๐. ภิกษุเกลี้ยกล่อมสามเณรที่ภิกษุอื่นให้ฉิบหายแล้ว เพราะโทษที่กล่าวคัดค้านธรรม
เทศนา ของพระพุทธเจ้า ให้เป็นผู้อุปัฏฐากก็ดีร่วมกินก็ดี ร่วมนอนก็ดี ต้องปาจิตตีย์
สหธรรมิกวรรคที่ ๘ มี ๑๒ สิกขาบท
๑. ภิกษุประพฤติอนาจาร ภิกษุอื่นตักเตือนพูดผัดเพี้ยนว่ายังไม่ได้ถามท่านผู้รู้ก่อน
ข้าพเจ้าจักไม่ศึกษาในสิกขาบทนี้ ต้องปาจิตตีย์
๒. ภิกษุอื่นท่องปาติโมกข์อยู่ ภิกษุแกล้งพูดให้เธอคลายอุตสาหะ ต้องปาจิตตีย์
๓. ภิกษุต้องอาบัติแล้วแกล้งพูดว่า ข้าพเจ้าพึ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า ข้อนี้มาในพระปาติโมกข์
ถ้าภิกษุอื่นรู้อยู่ว่า เธอเคยรู้มาก่อนแล้วแต่แกล้งพูดกันเขาว่า พึงสวดประกาศความข้อนั้น
เมื่อสงฆ์สวดประกาศแล้ว แกล้งทำไม่รู้อีก ต้องปาจิตตีย์
๔. ภิกษุโกรธ ให้ประหารแก่ภิกษุอื่น ต้องปาจิตตีย์
๕. ภิกษุโกรธ เงื้อมือดุจให้ประหารแก่ภิกษุอื่น ต้องปาจิตตีย์
๖. ภิกษุโจทฟ้องภิกษุอื่น ด้วยอาบัติสังฆาทิเสสไม่มีมูล ต้องปาจิตตีย์
๗. ภิกษุแกล้งก่อความรำคาญให้เกิดแก่ภิกษุอื่น ต้องปาจิตตีย์
๘. เมื่อภิกษุวิวาทกันอยู่ ภิกษุไปแอบฟังความ เพื่อจะได้รู้ว่า เขาว่าอะไรตนหรือพวก
ของตน ต้องปาจิตตีย์
๙. ภิกษุให้ฉันทะ คือความยอมให้ทำสังฆกรรมที่เป็นธรรมแล้ว ภายหลับกลับติเตียน
สงฆ์ผู้ทำธรรมนั้น ต้องปาจิตตีย์
๑๐. เมื่อสงฆ์กำลังประชุมกันตัดสิ้นข้อความข้อหนึ่ง ภิกษุใดอยู่ในที่ประชุมนั้น จะหลีก
ไปในขณะที่ตัดสินข้อความนั้นยังไม่เสร็จ ไม่ให้ฉันทะก่อนลุกไปเสีย ต้องปาจิตตีย์
๑๑. ภิกษุพร้อมกับสงฆ์ให้จีวรเป็นบำเหน็จแก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งแล้ว ภายหลังกลับติ
เตียนภิกษุอื่นว่า ให้เพราะเห็นแก่หน้ากัน ต้องปาจิตตีย์
๑๒. ภิกษุรู้อยู่ น้อมลาภที่ทายกเขาตั้งใจจะถวายสงฆ์เพื่อบุคคล ต้องปาจิตตีย์
รตนวรรคที่ ๙ มี ๑๐ สิกขาบท
๑. ภิกษุไม่ได้รับอนุญาตก่อน เข้าไปในห้องที่พระเจ้าแผ่นดินเสด็จอยู่กับพระมเหสี
ต้องปาจิตตีย์
๒. ภิกษุเห็นเครื่องบริโภคของคฤหัสถ์ตกอยู่ถือเอาเป็นของเก็บได้เองก็ดี ให้ผู้อื่นถือเอา
ก็ดี ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่ของนั้นตกอยู่ในวัดหรือในที่อาศัย ต้องเก็บไว้ให้แก่เจ้าของ ถ้าไม่
เก็บ ต้องทุกกฎ
๓. ภิกษุไม่บอกลาภิกษุอื่นที่มีอยู่ในวัดก่อนเข้าไปบ้านในเวลาวิกาล ต้องปาจิตตีย์ เว้น
ไว้แต่การด่วน
๔. ภิกษุทำกล่องเข็ม ด้วยกระดูกก็ดี ด้วยงาก็ดี ด้วยเขาก็ดี ต้องปาจิตตีย์ ต้องต่อย
กล่องนั้นเสียก่อน จึงแสดงอาบัติตก
๕. ภิกษุทำเตียงหรือตั่ง พึงทำให้มีเท้าเพียง ๘ นิ้วพระสุคต เว้นไว้แต่แม่แคร่ ถ้าให้
เกินกำหนดนี้ ต้องปาจิตตีย์ ต้องตัดให้ได้ประมาณเสียก่อน จึงแสดงอาบัติตก
๖. ภิกษุทำเตียงหรือตั่งหุ้มนุ่น ต้องปาจิตตีย์ ต้องรื้อเสียก่อน จึงแสดงอาบัติตก
๗. ภิกษุทำผ้าปูนั่ง พึงทำให้ได้ประมาณประมาณนั้นยาว ๒ คืบพระสุคต กว้างคืบ
ครึ่งชายคืบหนึ่ง ถ้าทำให้เกินกำหนดนี้ ต้องปาจิตตีย์ ต้องตัดให้ได้ประมาณเสียก่อน จึงแสดง
อาบัติตก
๘. ภิกษุทำผ้านุ่งปิดแผล พึงทำให้ได้ประมาณ ประมาณนั้นยาว ๘ คืบพระสุคต
กว้าง ๒ คืบ ถ้าทำให้เกินกำหนดนี้ ต้องปาจิตตีย์ ต้องตัดให้ได้ประมาณเสียก่อน จึงแสดง
อาบัติตก
๙. ภิกษุทำผ้าอาบน้ำฝน พึงทำให้ได้ประมาณ ประมาณนั้นยาว ๖ คืบพระสุคต
กว้าง ๒ คืบครึ่ง ถ้าทำให้เกินกำหนดนี้ ต้องปาจิตตีย์ ต้องตัดให้ได้ประมาณเสียก่อน จึง
แสดงอาบัติตก
๑๐. ภิกษุทำจีวรให้เท่าจีวรพระสุคตก็ดี เกินกว่านั้นก็ดี ต้องปาจิตตีย์ ประมาณจีวรพระ
สุคตนั้นยาว ๙ คืบพระสุคต กว้าง ๖ คืบ ต้องตัดให้ได้ประมาณเสียก่อน จึงแสดงอาบัติตก
ปาฏิเทสนียะ ๔
๑. ภิกษุรับของเคี้ยวของฉัน แต่มือนางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติ ด้วยมือของตน มาบริโภค
ต้องปาฏิเทสนียะ
๒. ภิกษุฉันอยู่ในที่นิมนต์ ถ้ามีนางภิกษุณีมาสั่งทายกให้เอาสิ่งนั้นสิ่งนี้ถวาย เธอพึงไล่
นางภิกษุณีนั้นให้ถอยไปเสีย ถ้าไม่ไล่ ต้องปาฏิเทสนียะ
๓. ภิกษุไม่เป็นไข้ เขาไม่ได้นิมนต์ รับของเคี้ยวของฉันในตระกูลที่สงฆ์สมมติว่าเป็น
เสขะ มาบริโภค ต้องปาฏิเทสนียะ
๔. ภิกษุอยู่ในเสนาสนะป่าเป็นที่เปลี่ยว ไม่เป็นไข้ รับของเคี้ยวของฉัน ที่ทายกไม่ได้แจ้ง
ความให้ทราบก่อน ด้วยมือของตน มาบริโภค ต้องปาฏิเทสนียะ
เสขิยวัตร
วัตรที่ภิกษุจะต้องศึกษาเรียกว่าเสขิยวัตร เสขิยวัตรนั้นจัดเป็น ๔ หมวด
หมวดที่ ๑ เรียกว่า สารูป หมวดที่ ๒ เรียกว่า โภชนปฏิสังยุต หมวดที่ ๓ เรียกว่าธัมม
เทสนาปฏิสังยุต หมวดที่ ๔ เรียกว่า
ปกิณณกะสารูปที่ ๑ มี ๒๖
๑,๒. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจัก นุ่ง ห่ม ให้เรียบร้อย
๓,๔. ฯลฯ เราจักปิดกายด้วย ไป นั่ง ในบ้าน
๕,๖. ฯลฯ เราจักระวังมือเท้าด้วยดี ไป นั่ง ในบ้าน
๗,๘ ฯลฯ เราจักมีตาทอดลง ไป นั่ง ในบ้าน
๙,๑๐. ฯลฯ เราจักไม่เวิกผ้า ไป นั่ง ในบ้าน
๑๑,๑๒. ฯลฯ เราจักไม่หัวเราะ ไป นั่ง ในบ้าน
๑๓,๑๔. ฯลฯ เราจักไม่พูดเสียงดัง ไป นั่ง ในบ้าน
๑๕,๑๖. ฯลฯ เราจักไม่โคลงกาย ไป นั่ง ในบ้าน
๑๗,๑๘. ฯลฯ เราจักไม่ไกวแขน ไป นั่ง ในบ้าน
๑๙,๒๐. ฯลฯ เราจักไม่สั่นศีรษะ ไป นั่ง ในบ้าน
๒๑,๒๒. ฯลฯ เราจักไม่เอามือค้ำกาย ไป นั่ง ในบ้าน
๒๓,๒๔. ฯลฯ เราจักไม่เอาผ้าคลุมศีรษะ ไป นั่ง ในบ้าน
๒๕. ฯลฯ เราจักไม่เดินกระโหย่งเท้า ไปในบ้าน
๒๖. ฯลฯ เราจักไม่นั่งรัดเข่าในบ้าน
โภชนปฏิสังยุตที่ ๒ มี ๓๐
๑. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักรับบิณฑบาตโดยเคารพ
๒. ฯลฯ เมื่อรับบิณฑบาต เราจักแลดูแต่ในบาตร
๓. ฯลฯ เราจักรับแกงพอสมควรแก่ข้าวสุก
๔. ฯลฯ เราจักรับบิณฑบาตแต่พอเสมอขอบปากบาตร
๕. ฯลฯ เราจักฉันบิณฑบาตโดยเคารพ
๖. ฯลฯ เมื่อฉันบิณฑบาต เราจักแลดูแต่ในบาตร
๗. ฯลฯ เราจักไม่ขุดข้าวสุกให้แหว่ง
๘. ฯลฯ เราจักฉันแกงพอสมควรแก่ข้าวสุก
๙. ฯลฯ เราจักไม่ขยุ้มข้าวสุกแต่ยอดลงไป
๑๐. ฯลฯ เราจักไม่กลบแกงหรือกับข้าวด้วยข้าวสุก เพราะอยากจะได้มาก
๑๑. ฯลฯ เราไม่เจ็บไข้ จักไม่ขอแกงหรือข้าวสุก เพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน
๑๒. ฯลฯ เราจักไม่ดูบาตรของผู้อื่นด้วย คิดจะยกโทษ
๑๓. ฯลฯ เราจักไม่ทำคำข้าวให้ใหญ่นัก
๑๔. ฯลฯ เราจักทำคำข้าวให้กลมกล่อม
๑๕. ฯลฯ เมื่อคำข้าวยังไม่ถึงปากจักไม่อ้าปากไว้ท่า
๑๖. ฯลฯ เมื่อฉันอยู่ เราจักไม่เอานิ้วมือสอดเข้าปาก
๑๗. ฯลฯ เมื่อข้าวอยู่ในปาก เราจักไม่พูด
๑๘. ฯลฯ เราจักไม่โยนคำข้าวเข้าปาก
๑๙. ฯลฯ เราจักไม่ฉันกัดคำข้าว
๒๐. ฯลฯ เราจักไม่ฉันทำกระพุ้มแก้มให้ตุ่ย
๒๑. ฯลฯ เราจักไม่ฉันพลางสะบัดมือพลาง
๒๒. ฯลฯ เราจักไม่ฉันโปรยเมล็ดข้าวให้ตกลงในบาตรหรือในที่นั้น ๆ
๒๓. ฯลฯ เราจักไม่ฉันแลบลิ้น
๒๔. ฯลฯ เราจักไม่ฉันดังจับ ๆ
๒๕. ฯลฯ เราจักไม่ฉันดังซูด ๆ
๒๖. ฯลฯ เราจักไม่ฉันเลียมือ
๒๗. ฯลฯ เราจักไม่ฉันขอดบาตร
๒๘. ฯลฯ เราจักไม่ฉันเลียริมฝีปาก
๒๙. ฯลฯ เราจักไม่เอามือเปื้อนจับภาชนะน้ำ
๓๐. ฯลฯ เราจักไม่เอาน้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวเทลงในบ้าน
ธัมมเทสนาปฏิสังยุตที่ ๓ มี ๑๖
๑. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ มีร่มในมือ.
๒. ฯลฯ มีไม้พลองในมือ
ขอขอบคุณที่มา
http://www.dmc.tv/forum/index.php?showtopic=7708
วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น